วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2559

วันคริสต์มาส






       ความสำคัญของ วันคริสต์มาส      

   

เราจะเห็นได้ว่า วันคริสต์มาสเป็นวันสำคัญวันหนึ่ง เนื่องจากเป็นการระลึกถึงวันที่พระบุตรของพระเจ้ามาบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์เป็นพระเจ้าที่จะอยู่กับเราตลอดไปส่วนหนึ่งของมนุษย์เป็นพี่หัวปีที่จะนำมนุษย์ทั้งมวลไปสู่พระบิดาเจ้าพระองค์เป็นความสำเร็จบริบูรณ์ตามคำสัญญาของพระเจ้า ที่จะดูแลป้องกันรักษาเราผู้เป็นประชากรของพระองค์ เราเป็นเหมือนลูกแกะที่หายไป แต่พระเยซูเป็นชุมพาบาลใจดีที่ตามหาเราจนพบและจะไม่มีอะไร ที่จะแยกเรากับพระองค์ได้อีกเลย มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเป็นชนชาติไหนจะรวยหรือจน คนศรัทธาหรือคนบาป ล้วนมีความสำคัญต่อหน้าพระเจ้าเสมอ เพราะตั้งแต่การเสด็จมาบังเกิดของพระเยซูนั้น พระเป็นเจ้าพระบิดาทรงเห็นพระฉายาลักษณ์ของพระบุตรในมนุษย์ทุกคน เราก็เช่นเดียวกัน เราต้องรักซึ่งกันและกันเหมือนอย่างที่เรารักพระเจ้า นั่นหมายถึงเราต้องเคารพศักดิ์ศรีของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะเป็นคนยากจน คนต่างชาติ หรือคนที่วางตัวเป็นศัตรูกับเรา
ดังนั้นประเพณีของการฉลองคริสต์มาสที่มีความเป็นมาดังกล่าวนี้ ควรเป็นสิ่งที่ชักจูงเราให้เปรี่ยมไปด้วยความรักที่พร้อมที่จะรับใช้ ผู้อื่นอย่างเต็มที่


องค์ประกอบในงานคริสต์มาส

ซานตาคลอส

    เป็นสิ่งแรก ๆ ที่คนจะนึกถึงในฐานะสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส ซึ่งว่ากันว่าซานตาคลอสคนแรก คือ นักบุญ (เซนต์) นิโคลาส ผู้เป็นสังฆราชแห่งเมืองไมรา เหตุที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นซานตาคลอสคนแรก มาจากวันหนึ่งที่ท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่ง แล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี

ถุงเท้า   

    จากที่นักบุญนิโคลัสได้ปีนขึ้นไปบนปล่องไฟของบ้านเด็กหญิงยากจน เพื่อที่จะมอบเหรียญเงินให้เป็นของขวัญ แต่เหรียญนั้นกลับตกไปอยู่ในถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้หน้าเตาผิง พอรุ่งเช้าเด็กหญิงตื่นมาเจอเหรียญเงินในถุงเท้าจึงดีใจมาก และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ผู้คนมากมายต่างพากันแขวนถุงเท้าคริสต์มาสไว้ เพื่อหวังจะได้รับของขวัญเช่นเดียวกันบ้าง

ต้นคริสต์มาส

    ต้นคริสต์มาส ซึ่งต้นคริสต์มาสก็คือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยลูกแอปเปิลและขนมปังเพื่อระลึกถึงศีลมหาสนิท และก็ได้มีวิวัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยจนมาถึงการประดับด้วยดวงไฟหลากสีสัน ขนม และของขวัญ อย่างในทุกวันนี้ การตกแต่งแบบนี้ต้องย้อนไปในศตวรรษที่ 8

   ในสมัยโบราณนั้นต้นคริสต์มาส หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า โดยตามพระคัมภีร์นั้นได้เปรียบพระเยซูเจ้าเสมือนเป็นต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เขียวเสมอในทุกฤดูกาล สื่อถึงนิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า อีกทั้งความสว่างของพระองค์ยังเหมือนแสงเทียนที่ส่องสว่างในความมืด และรวมถึงความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูประทานให้ เพราะต้นไม้นั้นเป็นจุดศูนย์รวมของครอบครัวในเทศกาลคริสต์มาส


เพลงวันคริสต์มาส         

   เพลงคริสต์มาสเริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 แต่งโดยพระสงฆ์และฆราวาส มีเนื้อร้องเป็นภาษาละติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมาของพระเยซูเจ้า แต่ในศตวรรษที่ 12 ได้มีการแต่งในท่วงทำนองที่ร่าเริงสนุกสนานมากขึ้น เริ่มจากประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้สนับสนุน ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่

 
เพลงคริสต์มาสแบบใหม่นี้ เป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้าน เพราะมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดีในโอกาสคริสต์มาส เพลงเหล่านี้มีทั้งที่เป็นภาษาละติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ. 1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles ในภาษาละติน เพลงคริสต์มาสที่นิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศเยอรมนี และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ เพลง Silent Night, Holy Night


ความเป็นมาของเพลงนี้มาจากวันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ. 1818 คุณพ่อโจเซฟ โมห์ (Joseph Mohr) เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ (Oberndorf) ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวัดเสีย ทำให้วงขับร้องไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ จึงมีการแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ นำไปให้เพื่อนชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ (Franz Gruber) ใส่ทำนองในคืนวันที่ 24 นั่นเอง และเล่นเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยมีการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก

สีประจำวันคริสต์มาส



สีที่เกี่ยวข้องในวันคริสต์มาสประกอบด้วย         

          สีแดง : เป็นสีของผลฮอลลี่ หรือซานตาคลอส เป็นสีของเดือนธันวาคม ที่แสดงถึงความตื่นเต้น และหากเป็นสัญลักษณ์ตามศาสนา สีแดงจะหมายถึง ไฟ, เลือด และความโอบอ้อมอารี

          สีเขียว : เป็นสีของต้นไม้ สัญลักษณ์ของธรรมชาตื หมายถึงความอ่อนเยาว์และความหวังที่จะมีชีวิตเป็นนิรันดร์ เปรียบได้กับว่าเทศกาลคริสต์มาสคือเทศกาลแห่งความหวัง

          สีขาว : เป็นสีของหิมะ และเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา คือแสงสว่าง ความบริสุทธิ์ ความสุข และความรุ่งเรือง สีขาวนี้จะปรากฏบนเสื้อคลุมนางฟ้า, เคราและชายเสื้อของซานตาคลอส

          สีทอง : เป็นสีของเทียนและดวงดาว เป็นสัญลักษณ์ของแสงอาทิตย์และความสว่างไสว


คำอวยพรวันคริสต์มาส 

  ในวันคริสต์มาสเรามักจะใช้คำอวยพรให้แก่กันและกันว่า Merry X'mas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า "สันติสุขและความสงบทางใจ" คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรขอให้เขาได้รับสันติสุขและความสงบทางใจ และได้จัดให้มีการฉลองเพื่อระลึกถึงการบังเกิดของพระเยซู ที่เขายกย่องเหมือนกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสากลโลก ผู้ทรงเกียรติเลอเลิศ ประเพณีนี้ได้เริ่มมาจากรุงโรมในศตวรรษที่ 4 และค่อย ๆ เผยแพร่ไปทุกทวีป

ของขวัญวันคริสต์มาส

   การแลกเปลี่ยนของขวัญในวันคริสต์มาสนั้น เริ่มต้นจากเมือง Saturnalia ในช่วงยุคโรมัน ต่อมาชาวคริสต์รับประเพณีนี้เข้ามา ด้วยความเชื่อว่า การให้ของขวัญนี้มีความเกี่ยวเนื่องกับของขวัญประเภททอง, ยางสนที่มีกลิ่นหอม และยางไม้หอม ซึ่งพวกนักเวทย์จากตะวันออกที่เดินทางมาคารวะพระเยซูคริสต์ นำมาให้ตอนที่ท่านประสูติ

        



  ทั้งหมดนั้นก็คือการเฉลิมฉลองให้กับพระเยซู ที่เกิดมาเพื่อชำระบาปให้แก่ชาวคริสต์ทั้งหลาย และเป็นเทศกาลที่นำความสุข สนุกสนาน มาสู่หมู่มวลมนุษย์ 




เเหล่งที่มา:http://hilight.kapook.com/view/18771/25






วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2559



     ชุดเเต่งงาน      

 ความรู้เกี่ยวกับการเลือกชุดเเต่งงาน 

      จะเลือกตามรูปเเบบความชอบของเจ้าสาวหรือเจ้าบ่าวร่วมถึงสถานที่การจัดงาน ซึ่งส่วนมากการจัดงานในปัจจุบันอาจมีตอนเช้าหรือตอนค่ำเเล้วเเต่ความสะดวกของเจ้าภาพ ทำให้รูปเเบบชุดเเต่งงานมีทั้งออกเเบบเป็นชุดไทยเเละชุดเเต่งงานในตอนค่ำ 
                       






              
                                                               ชุดไทยในการหมั้น








                                                                                           
                                                   ชุดงานเลี้ยงตอนค่ำหรือชุดราตรี


  ชุดเเต่งงานที่เเพงที่สุดในโลก  




มูลค่า 388,000 ดอลลาร์ (13,968,000 บาท)


  สี่ที่นิยมในชุดเเต่งงาน  

ส่วนมากจะเเล้วเเต่ความชอบของเจ้าสาวเเละส่วนมากเจ้าสาวมักจะเลือกสี ขาว หรือสีออกเเนวหวานๆ


  รองเท้าของชุดเเต่งงาน  













เเหล่งที่มา :/www.google.co.th/search?q=ชุดแต่งงาน
           












วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559



  ในหลวงในดวงใจตามโครงการพระราชดำริ   


    




   โครงการหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง

เศรษฐกิจพอเพียง คือ ปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงชี้แนวทางการดำเนินชีวิตให้แก่ปวงชนชาวไทยมาเป็นระยะเวลานาน ในช่วงตั้งแต่ก่อนการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ เพื่อมุ่งให้พสกนิกรได้ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างยั่งยืน มั่นคงและปลอดภัย ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามกระแสโลกาภิวัฒน์ อีกทั้งพระองค์ยังได้ทรงพระราชทานความหมายของ เศรษฐกิจพอเพียง เอาไว้เป็นภาษาอังกฤษว่า Sufficiency Economy ดังพระราชดำรัสที่ได้ทรงตรัสไว้เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2554

ความพอเพียงจะต้องประกอบด้วย ๓ คุณลักษณะ พร้อม ๆ กัน ดังนี้
  1. ความพอประมาณ: หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไปโดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่นการผลิตและการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมณ
  2. ความมีเหตุผล: หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผลโดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้น ๆ อย่างรอบคอบ 
  3. การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว: หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นโดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ ต่าง ๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้และไกล


   วัตถุประสงค์
เพื่อต้องการให้คนในหมู่บ้านรู้จักความพอเพียงเเละสร้างอาชีพในครัวเรือนเช่น การทำเกษตร นอกจากนี้ยังทำให้ชาวบ้านมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นในเรื่องของปากท้องรวมไปถึงการหารายได้จากการค้าขายพืชผักสวนครัวหรือการเลี้ยงปลา ไก่ หมู เเละอื่นๆ

ปัจจัยที่ทำให้หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงประสบความสำเร็จ 

1.ประชาชนมีความรัก ความสามัคคีให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมส่วนรวม
2.ครัวเรือนส่วนมากในหมู่บ้านมีการดำเนินกิจกรรรมการดำรงชีวิตตามแนววิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง เช่น  การปลูกผักสวนครัว  เลี้ยงปลา
3.ประชาชนในหมู่บ้านมีความเข้มแข็ง พร้อมที่จะพัฒนาตนเอง 
4.ประชาชนยอมปรับสภาพ  เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม   หลังจากอบรมกิจกรรม
      ประโยชน์ของโครงการ  

1.ลดปัญหาความเป็นอยู่ในครัวเรือน
2.สร้างอาชีพให้ประชาชน
3.ทำให้ประชาชนมีเเนวทางเเก้ไขปัญหาความลำบากในเรื่องของการดำรงชีวิต เช่น การกินอยู่


                                                                      



                                                                      ที่มา:https://dong04.wordpress.com





วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

การศึกษาข้อมูลของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
การสื่อสาร หมายถึง กระบวนการถ่ายทอดหรือเเลกเปลี่ยนสารหรือสื่อระหว่างผู้ส่งกับผู้รับ โดยส่งผ่านช่องทางนำสารหรือสื่อเพื่อให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันเเละกัน
 การสื่อสารข้อมูล (Data Communications) หมายถึง กระบวนการถ่ายโอนหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างผู้ส่งและผู้รับ โดยผ่านช่องทางสื่อสาร เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือคอมพิวเตอร์เป็นตัวกลางในการส่งข้อมูล เพื่อให้ผู้ส่งและผู้รับเกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน



  องค์ประกอบระบบสื่อสารข้อมลู  


1.ข่าวสาร  เป็นข้อมูลที่ผู้ส่งทำการส่งไปยังผู้รับผ่านระบบการสื่อสาร ซึ่งอาจอยู่ในรูปเเบบดังต่อไปนี้
   1.1ข้อมูล
   1.2ข้อความ
   1.3รูปภาพ
   1.4เสียง

สื่อกลางการสื่อสารข้อมูล คือ
การสื่อสารข้อมูลจะมีสื่อกลางสำหรับเชื่อมโยงสถานีหรือเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆเข้าด้วยกัน เพื่อเป็นตัวกลางให้ผู้ส่งข้อมูลทำการส่งข้อมูลไปยังผู้รับได้ เเบ่งออกเป็น 2 ประเภท



                                                            สื่อกลางทางกายภาพ 


สื่อกลางไร้สาย








วิธีการถ่ายโอนข้อมูล
      วิธีการถ่ายโอนข้อมูลเป็นวิธีส่งสัญญาณออกจากอุปกรณ์ส่งข้อมูลและการรับสัญญาณด้วยอุปกรณ์รับข้อมูล มีการถ่ายโอนอยู่ 2วิธี ดังนี้
การถ่ายโอนข้อมูลแบบขนาน เป็นการส่งข้อมูลออกที่ละ 1 ไบต์ หรือ 8บิต จากอุปกรณ์ส่งข้อมูลไปยังอุปกรณ์รับข้อมูล ดังนี้ สื่อกลางหรือสายสัญญาณระหว่างอุปกรณ์ส่งข้อมูลและอุปกรณ์รับข้อมูล จึงต้องมีช่องทางอย่างน้อง 8ช่องทางขนาน กันเพื่อให้สัญญาณไฟฟ้าผ่านไปได้ และระยะทางของสายสัญญาณแบบขนานไม่ควรยาวเกิน 100 ฟุตเพราะอาจจะทำให้เกิดปัญหาเนื่องจากความต้านทานของสาย เนื่องจากนี้อาจมีปัญหาที่เกิดจากกระไฟฟ้าสายดินส่งคลื่นไปก่อกวนการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆทำให้ผู้รับสัญญาณที่ผิดพลาดได้ การถ่ายโอนข้อมูลแบบอนุกรม  เป็นการส่งข้อมูลออกไปทีละ 1บิต ระหว่างอุปกรณ์ส่งและอุปกรณ์ข้อมูล
                                                                      เเหล่งที่มา:http://pawinee-ct-3.blogspot.com/
                                                   เเหล่งที่มา:  หนังสือเรียน             

วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

โรงเรียนเซนต์โยเซฟนครสวรรค์


โครงงานเศรษฐกิจพอเพียง





ประวัติความเป็นมา

กรมประมงได้รับสนองพระราชดำริจัดโครงการฟื้นฟูปลาไทยเป็นโครงการต่อเนื่อง ดำเนินการสำเร็จในการเพาะเลี้ยงปลาไทยได้เกือบทุกชนิด โดยเฉพาะปลาไทยตามกาพย์เห่เรือชมปลาของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศ ทั้ง ๑๗ ชนิด ได้แก่ ปลานวลจันทร์ ปลาคางเบือน ปลาตะเพียนทอง ปลากระแห ปลาแก้มช้ำ ปลาทุก ปลาน้ำเงิน ปลากราย ปลาหางไก่ ปลาสร้อย ปลาเนื้ออ่อน ปลาเสือ ปลาแมลงภู่ ปลาหวีเกศ ปลาชะเวง ปลาชะวาด และปลาแปบ ยกเว้นปลาหวีเกศซึ่งสูญพันธุ์ไปแล้ว เนื่องจากมีแห่งเดียวในโลก คือ ในลุ่มน้ำเจ้าพระยาลุ่มน้ำที่สำคัญของประเทศไทยในอดีตเคยเป็นแหล่งที่มีพันธุ์สัตว์น้ำต่างๆ เช่น ปลายี่สก ปลากา ปลาบ้า ปลาสวาย ผลจากการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรมลง ไม่เอื้ออำนวยต่อการแพร่ขยายพันธุ์ของปลา และสัตว์น้ำจืดตามธรรมชาติ ประกอบกับการทำการประมงเกินกำลังผลิตของแหล่งน้ำ ตลอดจนภัยธรรมชาติ ส่งผลกระทบเสียหายอย่างรุนแรงต่อชนิด และปริมาณสัตว์น้ำจืดในแหล่งน้ำธรรมชาติ กล่าวคือ พันธุ์ปลาน้ำจืดของไทยบางชนิดได้สูญพันธุ์ไป นอกจากนี้พันธุ์ปลาน้ำจืดของไทยอีกหลายชนิดมีปริมาณลดลง จนกระทั่งอยู่ในสภาวะน่าวิตกต่อการสูญพันธุ์ โครงการฟื้นฟูทรัพยากรพันธุ์ปลาและสัตว์น้ำจืดของไทย เป็นโครงการพระราชดำริโครงการหนึ่ง ซึ่งมุ่งเน้นการศึกษาวิจัยการเพาะเลี้ยงปลา และสัตว์น้ำจืดของไทยที่หายาก หรือมีโอกาสสูญพันธุ์ แล้วนำไปปล่อยในแหล่งน้ำธรรมชาติ เพื่อทดแทนปริมาณสัตว์น้ำที่ถูกทำลาย ซึ่งการเพิ่มผลผลิตของปลาในแหล่งน้ำยังเป็นการเพิ่มรายได้ และเพิ่มปริมาณอาหารโปรตีนแก่ราษฎรผู้ยากไร้ในชนบท นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้เกิดการเพาะเลี้ยงในเชิงการค้า ซึ่งจะสามารถเพิ่มผลผลิตปลาไทยจากการเลี้ยง และสามารถเพิ่มรายได้ตลอดจนสามารถคืนความหลากหลายของชนิดปลา ซึ่งจะรักษาสภาพความสมดุลตามธรรมชาติของแหล่งน้ำ อันจะนำมาซึ่งการใช้ทรัพยากรสัตว์น้ำอย่างยั่งยืนตลอดไป



                    วัตถุประสงค์

๑. เพื่อเพาะพันธุ์ปลาและสัตว์น้ำจืดของไทย
๒. เพื่อศึกษาวิจัยการเพาะเลี้ยงปลาและสัตว์น้ำจืดของไทยที่หายากใกล้สูญพันธุ์
๓. เพื่อเพิ่มผลผลิตพันธุ์ปลาและสัตว์น้ำจืดของไทยในแหล่งน้ำธรรมชาติ
๔. เพื่อส่งเสริมให้ราษฎรเลี้ยงเป็นอาชีพสำหรับพันธุ์ปลาที่มีศักยภาพในการผลิตและเป็นที่ต้องการของตลาด
 ๕. เพื่ออนุรักษ์ และฟื้นฟูพันธุ์ปลาหายากของไทย



โดยสร้างโรงเรือนเลี้ยงเป็ดไว้เหนือบ่อเลี้ยงปลา สามารถระบายมูลสัตว์จากโรงเรือนลงสู่บ่อปลาได้โดยตรง
                                                               เเหล่งที่มา:http://www.fisheries.go.th