สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
พระนามเดิมของพระองค์ เดิมว่า สมเด็จ พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ บรมจักรยาดิศรสันตติวงศ เทเวศรธำรง สุบริบาล อภิคุณูประการมหิตลาดุลเดช ภูมิพลนเรศวรางกูร กิตติสิริสมบูรณ์สวางควัฒน์ บรมขัตติยราชกุมาร ซึ่งเป็นพระราชโอรสเพียงพระองค์เดียว ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
(สนช. กราบบังคมทูลอัญเชิญสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ขึ้นทรงราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตามกฎมณเฑียรบาล เมื่อเวลาประมาณ 11:00 น. วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน 2559) และ สำนักพระราชวัง ออกหมายกำหนดการพระราชพิธีปัญญาสมวาร ร.9 (เป็นทางการแล้ว) พร้อมประกาศให้เรียกพระนามใหม่ ร.10 “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร” ได้ตั้งแต่ 2 ธ.ค. นี้ เป็นต้นไป
พระราชประวัติ : พระราชสมภพ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร หรือสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 มีพระนามเดิมว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณฯ สยามมกุฎราชกุมารเป็นพระราชโอรสพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นสยามกุฎราชกุมารพระองค์แรกในสมัยการปกครองระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย ทรงพระราชสมภพเมื่อวันจันทร์ที่ 28 กรกฎาคม พุทธศักราช 2495 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ทรงมีพระเชษฐภคินี 1 พระองค์ คือ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญาสิริวัฒนาพรรณวดี พระนามเดิมสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดีและพระขนิษฐภคินี 2 พระองค์ คือ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี
พระอัจฉริยภาพ : ด้านเกษตรกรรม
ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกรณียกิจทางด้านการเกษตรมากมาย พระองค์ทรงมีพระอัจฉริยภาพด้านนี้มาก สืบเนื่องมาจากตามแนวพระราชกรณียกิจทางด้านการเกษตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 อาทิ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2529 ในการนี้ ได้ทรงปฏิบัติการสาธิตการทำนาด้วยพระองค์เอง เมื่อพระราชทานอุปกรณ์ การทำนา พันธ์ข้าวปลูก และปุ๋ยหมักให้ข้าราชการ ผู้ใหญ่ไปดำเนินการสาธิตแล้ว ได้ทรงถอดฉลองพระบาท ถลกพระสนับเพลา ทรงพระดำเนินลุยโคลน หว่านพันธ์ข้าวปลูกและปุ๋ยหมักในแปลงนาสาธิต โดยมิได้มีกำหนดการไว้ก่อน ยังความชื่นชมโสมนัสปลาบปลื้มปิติและซาบซึ้งในพระราชจริยวัตรแก่บรรดาข้าราชการและประชาชนที่มาเฝ้าทูลละอองพระบาทในพิธีการวันนั้นเป็นอย่างยิ่ง และยังมีโครงการเกษตรวิชญา จังหวัดเชียงใหม่ โดยได้รับความสนับสนุนด้านข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริ (สำนักงาน กปร.) พระองค์ทรงมอบที่ดินส่วนพระองค์ในพื้นที่บ้านกองแหะ หมู่ 4ตำบลโป่งแยง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ มีเนื้อที่ทั้งหมด จำนวน 1,350 ไร่ ให้กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2549 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารได้พระราชทานชื่อใหม่ให้โครงการฯ จากชื่อเดิม คือ โครงการพัฒนาพื้นที่สวนบ้านกองแหะ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นโครงการเกษตรวิชญา
พระราชประวัติ : การศึกษา
เมื่อทรงเจริญวัยพระชนมมายุได้ 4 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ทรงเข้ารับการศึกษาชั้นอนุบาลที่ 1 ณ โรงเรียนจิตรลดา เมื่อเดือนกันยายน พุทธศักราช 2499 ขณะนั้นโรงเรียนนี้ยังตั้งอยู่ ณ พระที่นั่งอุดร พระราชวังดุสิต ต่อมาในปีพุทธศักราช 2500 จึงย้ายไปอยู่สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต ได้ทรงศึกษาอยู่ในโรงเรียนจิตรลดา แล้วจึงเสด็จฯไปศึกษาต่อในโรงเรียนคิงส์ มิด เมืองซีฟอร์ด แคว้นซัสเซกส์ ประเทศอังกฤษ เมื่อเดือนมกราคม พุทธศักราช 2509 ต่อจากนั้นเสด็จฯไปทรงศึกษาต่อที่โรงเรียนมิลล์ฟิลด์ เมืองสตรีท แคว้นซอมเมอร์เซท เมื่อเดือนกันยายน พุทธศักราช 2509
ตั้งแต่ยังทรงเยาว์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงมีพระอุปนิสัยโปรดความมีระเบียบวินัยและความสะอาดเรียบร้อย ไม่ทรงนิยมการฝ่าฝืนหรือละเมิดระเบียบข้อบังคับต่างๆ มีความสนพระราชหฤทัยในกิจการเกี่ยวกับกองทัพ และขณะที่ประทับอยู่ในประเทศไทยได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนที่ตั้งในกองทหารหน่วยต่างๆหลายแห่ง
โดยที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามกุฎราชกุมาร ทรงสนพระราชหฤทัยในกิจการทหารเป็นอย่างมาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงดำริเห็นว่า การศึกษาวิชาทหารในประเทศออสเตรเลียมีหลักสูตรการสอนกว้างขวางและมีการฝึกอย่างเข้มงวด จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินจากประเทศอังกฤษไปทรงศึกษาวิชาทหาร ณ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อเดือนสิงหาคม พุทธศักราช 2513 ในขั้นแรกทรงเข้าศึกษาในโรงเรียนคิงส์สกูล ตำบลพารามัตตา นครซิดนีย์ ซึ่งเป็นโรงเรียนเตรียมทหาร
ต่อจากนั้นทรงเข้าศึกษาที่วิทยาลัยการทหารดันทรูน กรุงแคนเบอร์รา ซึ่งทรงใช้เวลาในการทดสอบและฝึกอย่างหนักถึง 5 สัปดาห์ ทรงเข้าศึกษาและทรงเข้าประจำเหล่านักเรียนนายร้อยที่วิทยาลัยการทหารดันทรูน ตั้งแต่ภาคแรกแห่งปีการศึกษาพุทธศักราช 2515 จนทรงจบการศึกษาในปีพุทธศักราช 2518 บ้านแมคอาเทอร์เฮาส์และได้ทรงปฏิบัติพระองค์อย่างดีเด่น โดยเฉพาะในการฝึกทหาร
ในการศึกษาทุกระดับชั้น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้ทรงปฏิบัติตามระเบียบของสถานศึกษาเหมือนอย่างนักเรียนทั่วไปและเมื่อทรงเข้าศึกษาวิชาการทหารซึ่งมีการฝึกอบรมอย่างเข้มงวด ก็ได้ทรงปฏิบัติตามกฎระเบียบโดยสมบูรณ์ในระหว่างเวลาที่ทรงเข้าศึกษาที่โรงเรียนคิงส์สกูล ตำบลพารามัตตา นครซิดนีย์ ทรงได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้า
พุทธศักราช 2499-พุทธศักราช 2509
- ทรงเข้ารับการศึกษาระดับอนุบาลที่พระนั่งอุดร พระราชวังดุสิต และโรงเรียนจิตรลดา
มกราคม-กันยายน พุทธศักราช 2509
- ทรงเข้ารับการศึกษาระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนคิงส์ มิด เมืองซีฟอร์ด แคว้นซัสเซกส์ ประเทศอังกฤษ
พุทธศักราช 2509-พุทธศักราช 2513
- ทรงเข้ารับการศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนมิลล์ฟิลด์ เมืองสตีท แคว้นซอมเมอร์เซทประเทศอังกฤษ
พุทธศักราช 2513-พุทธศักราช 2514
- ทรงเข้าศึกษาเตรียมทหารที่โรงเรียนคิงส์สคูล ตำบลพารามัตตา นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย
พุทธศักราช 2515-พุทธศักราช 2519
- ทรงเข้ารับการศึกษาระดับอุดมศึกษา และทรงได้รับปริญญาอักษรศาสตรบัณฑิต (การศึกษาด้านการทหาร) คณะการศึกษาด้านการทหาร มหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย
พุทธศักราช 2520-พุทธศักราช 2521
- ทรงเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนเสนาธิการทหารบก หลักสูตรหลักประจำชุดที่ 56
พุทธศักราช 2527-พุทธศักราช 2530
- ทรงเข้ารับการศึกษาระดับอุดมศึกษา โดยทรงได้รับปริญญานิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กรุงเทพฯ ประเทศไทย
มกราคม-ธันวาคม พุทธศักราช 2533
- ทรงเข้ารับการศึกษา ณ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรแห่งสหราชอาณาจักร
พระราชประวัติ: ทรงผนวช
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ มีพระทัยศรัทธาจะอุปสมบทในพระพุทธศาสนา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 จึงโปรดเกล้าฯ ให้ทรงผนวชในวันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2521 เวลา 15.00 น. ตรงกับวันขึ้น 7 ค่ำ เดือน 12 ปีมะเมีย ณ พัทธสีมาพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน) เป็นพระอุปัชฌาย์ สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และสมเด็จพระธีรญาณมุนี (ธีร์ ปุณฺณโก) ถวายอนุสาสน์ ผนวชแล้วเสด็จฯ ไปประทับ ณ พระตำหนักปั้นหย่า วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร พระมหารัชมงคลดิลก (บุญเรือน ปุณฺณโก) เป็นพระอภิบาลผนวชอยู่ 15 วันจึงลาผนวช
โครงการในพระราชดำริ
1.โครงการเกษตรวิชญา
2.โครงการ สายใยรักแห่งครอบครัว
3.โครงการเพื่อชุมชนเข้มแข็งและร่มเย็นบ้านสันติ 2 จังหวัดยะลา
พระอัจฉริยภาพ:ด้านการทหาร
ทรงมีพระปรีชาด้านการทหารเป็นอันมาก และทรงดำเนินงานด้านการทหารมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงการปะทะกันระหว่างผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์กับเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจตามพื้นที่ต่างๆ
ในประเทศ ทำให้เกิดความสูญเสียแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต ซึ่งบั่นทอนขวัญและกำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานและราษฎรในพื้นที่ ในฐานะทรงเป็นนักการทหาร ทรงเสด็จพระราชดำเนินไปยังพื้นที่ที่มีการปะทะเพื่อเยี่ยมเยียนและพระราชทานขวัญกำลังใจ ในส่วนของประสบการณ์ทางทหารก็มีมากมาย อาทิ ในเดือนมกราคม ถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2519 ทรงเข้ารับการฝึกเพิ่มเติม และศึกษางานด้านการทหาร ณ เครือรัฐออสเตรเลีย ทรงเข้ารับการฝึกหลักสูตรวิชาอาวุธพิเศษ การทำลายและยุทธวิธีรบนอกแบบ หลักสูตรต้นหนชั้นสูง หลักสูตรการลาดตระเวน และต้นหนชั้นสูง รวมทั้งหลักสูตรส่งทางอากาศ ในเดือนมิถุนายน ถึงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2523ทรงเข้ารับการฝึกหลักสูตรการฝึกบินเฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป แบบ ยู เอซ - 1 เอซ กับเฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป แบบ ยู เอซ - 1 เอ็น ของบริษัทเบลล์ รวมชั่วโมงบิน 259.560 ชั่วโมง
พระยศทหาร
พ.ศ. 2508 : ร้อยตรี เหล่าทหารราบ เรือตรี พรรคนาวิน เรืออากาศตรี เหล่าทหารนักบิน และนายทหารพิเศษประจำกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ นายทหารพิเศษประจำกองทัพเรือและนายทหารพิเศษประจำโรงเรียนนายเรืออากาศ
พ.ศ. 2514 : ร้อยโท เรือโท และ เรืออากาศโท
พ.ศ. 2518 : ร้อยเอก เรือเอก และ เรืออากาศเอก และ นายทหารประจำกรมข่าวทหารบก กองทัพบก กระทรวงกลาโหม
พ.ศ. 2520 : พันตรี นาวาตรี และ นาวาอากาศตรี
พ.ศ.2521 : รองผู้บังคับกองพัน ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์
พ.ศ. 2523 : พันโท นาวาโท และ นาวาอากาศโท และ ผู้บังคับกองพัน กรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ และ นายทหารพิเศษประจำกรมนักเรียนนายเรือ รักษาพระองค์ กรมยุทธศึกษา โรงเรียนนายเรือ ประจำกองบังคับการกรมทหารราบที่ 3 รักษาพระองค์ กรมนาวิกโยธิน ประจำกรมนักเรียนนายเรืออากาศ รักษาพระองค์ กรมยุทธศึกษา โรงเรียนนายเรืออากาศ และ ประจำกองพันทหารอากาศโยธินที่ 1 รักษาพระองค์
พ.ศ. 2524 : นายทหารพิเศษประจำกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์
พ.ศ. 2525 : นายทหารพิเศษประจำกรมนักเรียนนายร้อยรักษาพระองค์ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า และ นายกองเอก กองอาสารักษาดินแดน สำนักอำนวยการกองอาสารักษาดินแดน
พ.ศ. 2526 : พันเอก นาวาเอก และ นาวาอากาศเอก
พ.ศ. 2527 : ผู้บังคับการ กรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์
พ.ศ. 2529 : ผู้บังคับการพิเศษ ประจำกรมรบพิเศษที่ 1 กองพลรบพิเศษที่ 1 หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ
พ.ศ. 2530 : พลตรี พลเรือตรี และ พลอากาศตรี และผู้บังคับการ กรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์
พ.ศ. 2531 : พลโท พลเรือโท และ พลอากาศโท และผู้บัญชาการ หน่วยบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภ รักษาพระองค์
พ.ศ. 2534 : นายทหารพิเศษประจำกรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ กรมทหารราบที่ 12 รักษาพระองค์ กรมทหาราบที่ 21 รักษาพระองค์ กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ กองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ กรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ และกองพันทหารช่างที่ 1 รักษาพระองค์
พ.ศ. 2535 : พลเอก พลเรือเอก และ พลอากาศเอก ผู้บัญชาการ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัย สำนักผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ นายกองใหญ่ กองอาสารักษาดินแดน สำนักอำนวยการกองอาสารักษาดินแดน
พ.ศ. 2547 : นายทหารพิเศษประจำกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์
พ.ศ. 2548 : นายทหารพิเศษประจำกรมทหารช่างที่ 1 รักษาพระองค์ กองพันทหารช่างที่ 2 รักษาพระองค์ และกองพันทหารสื่อสารที่ 1 รักษาพระองค์
พระอัจฉริยภาพ:ด้านกีฬา
ทรงมีพระอัธยาศัยรักการผจญภัย โลดโผนที่ต้องออกกำลังพระวรกายมาตั้งแต่พระเยาว์ ทั้งการทรงม้า ที่ทรงฝึกหัดตั้งแต่มีพระชันษาเพียง 11-13 พรรษา กระทั่งทรงได้อย่างคล่องแคล่ว นอกจากนั้น
เมื่อครั้งตามเสด็จฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เสด็จประพาสยุโรป ได้มีโอกาสทรงสเก็ตน้ำแข็งร่วมกับทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี รวมถึงทรงเรือใบร่วมแข่งขันกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9และทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เมื่อครั้งเสด็จแปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระราชวังไกลกังวล หัวหิน อีกด้วย ขณะที่ทรงศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ พระองค์ทรงร่วมกิจกรรมกีฬากับพระสหาย ทั้งการแข่งขันฟุตบอล รักบี้ฟุตบอล และเรือพาย
นอกจากนี้พระองค์ยังทรงงานหนักอีกมากมายเพื่อคนไทยเปรียบดังพ่ออีกคนหนึ่งของคนไทย พระองค์ทรงสานงานต่อจากพระบิดาของท่านนั้นคือในหลวงรัชกาลที่ 9 ในฐานะคนไทยของพระองค์คนหนึ่งขอเดินตามร้อยเท้าของรัชกาลที่ 10 ต่อไป
ที่มา :http://www.sanook.com/kingrama10/#โครงการในพระราชดำริรัชกาลที่-10